#5
by Xcelvba » Mon Feb 19, 2024 9:03 am
หน้าหลักจะมีอยู่ 2 ส่วนครับ
ส่วนที่ (1)
ข้อมูลหลัก ใช้สำหรับ สร้าง สูตรในการคีย์ข้อมูล / dropdownlist
1.ข้อมูลของ Product เป็นข้อมูลหลักของ Product (ชีท “Main-Product”)
2.ข้อมูลของ Part of Product จะเป็นส่วนประกอบของแต่ละ Product ซึ่งแต่ละ Product จะมี Part แต่ละชิ้นไม่เท่ากัน
(ชีท “Part_Products”)
ส่วนที่ (2)
คีย์ข้อมูล / บันทึกประจำวัน / เดือน
1.ชีท “Data-Part” เป็นการคีย์ Part of product (รายวัน) เมื่อทำการผลิตชิ้นส่วนนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ละวันอาจจะผลิต Part ของแต่ละ Product ไม่ครบใน 1 วัน เช่น Product A ใช้ ชิ้นส่วน 5 อย่าง ใช้ A.1 , A.2 , A.3 , A.4 , A.5 (แต่ละส่วนใช้จำนวนไม่เท่ากันต่อ 1 product) วันที่ 19/2/2024 ผลิตได้แค่ A.1 , A.2 , A.3 ซึ่งจะขาดในส่วนของ A.4 และ A.5 ไปทำให้ยังไม่สามารถประกอบเป็น Product A ได้
2.ชีท “Production_Plan” เป็นการวางแผนการผลิต Product (รายเดือน) ว่าแต่ละ Product มีแผนการผลิตกี่ตัว เช่น Product A มีแผนการผลิต 500 ตัว อยากทราบว่าตอนนี้ผลิตได้เท่าไหร่ ซึ่ง concept ของผมคือ ใช้ การหาร และใช้ Min คำนวณ
MIN [ {A.1/จำนวนต้องใช้ , A.2/จำนวนต้องใช้ , A.3/จำนวนต้องใช้ , A.4/จำนวนต้องใช้ , A.5/จำนวนต้องใช้} ]
ซึ่งค่าที่น้อยที่สุดก็คือ ค่าที่สามารถประกอบเป็น Product A ได้เท่านั้น ค่าที่ได้ จะนำไป ลบ (-) กับ 500 ซึ่งคือยอดที่ผลิต Product ได้ในปัจจุบัน
***ปัญหาคือ ในชีท “Part_Products” จะเป็นการคีย์ชิ้นส่วนแต่ละ Product สามารถซ้ำกันได้เพิ่มขึ้นได้ หรือ เป็นคนละ Product ก็ได้ เช่น
วันที่ 1ผลิต A.1 100 ชิ้น
วันที่ 2 ผลิต A.2 50 ชิ้น
วันที่ 3 ผลิต A.3 100 ชิ้น
วันที่ 4 ผลิต A.4 100 ชิ้น
วันที่ 5 ผลิต A.2 50 ชิ้น
วันที่ 6 ผลิต B.1 100 ชิ้น
แต่ไม่มีชิ้นส่วน A.5 ซึ่งก็จะไม่ครบ Part ของ Product A จะไม่สามารถคำนวณเพื่อไปตัดยอด ที่ ผลิต ได้ในปัจจุบัน ซึ่งอยากทราบวิธีเช็คและคำนวณว่า เมื่อผลิตครบทุกชิ้นส่วน แล้ว นำไปตัดยอดการวางแผนผลิต อย่างไรครับ หรือมีวิธีการวางตารางฐานข้อมูลอย่างไรครับในงานลักษณะนี้ซึ่งให้ง่ายต่อการคำนวณ
*ซึ่งการใช้รหัสของแต่ละ Product จะเป็น Primary key ส่วน Part ของ Product จะเป็น การใช้ “.” ต่อท้ายไปตามจำนวน Part ที่ต้องใช้ ในแต่ละ Product
เช่น Product A รหัสคือ 10000
ชิ้นส่วนที่ 1 จะใช้รหัส 10000.1
ชิ้นส่วนที่ 2 จะใช้รหัส 10000.2
ชิ้นส่วนที่ 3 จะใช้รหัส 10000.3
ชิ้นส่วนที่ 4 จะใช้รหัส 10000.4
ชิ้นส่วนที่ 5 จะใช้รหัส 10000.5
ถ้ามี part อื่นๆ ก็จะไล่เลขไปตามลำดับครับ
- Attachments
-
Draft-Production.xlsx
- (141.98 KiB) Downloaded 3 times
หน้าหลักจะมีอยู่ 2 ส่วนครับ
[b]ส่วนที่ (1)
ข้อมูลหลัก ใช้สำหรับ สร้าง สูตรในการคีย์ข้อมูล / dropdownlist[/b]
1.ข้อมูลของ Product เป็นข้อมูลหลักของ Product (ชีท “Main-Product”)
2.ข้อมูลของ Part of Product จะเป็นส่วนประกอบของแต่ละ Product ซึ่งแต่ละ Product จะมี Part แต่ละชิ้นไม่เท่ากัน
(ชีท “Part_Products”)
[b]ส่วนที่ (2)
คีย์ข้อมูล / บันทึกประจำวัน / เดือน[/b]
1.ชีท “Data-Part” เป็นการคีย์ Part of product (รายวัน) เมื่อทำการผลิตชิ้นส่วนนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ละวันอาจจะผลิต Part ของแต่ละ Product ไม่ครบใน 1 วัน เช่น Product A ใช้ ชิ้นส่วน 5 อย่าง ใช้ [color=#FF0000]A.1 , A.2 , A.3 , A.4 , A.5[/color] (แต่ละส่วนใช้จำนวนไม่เท่ากันต่อ 1 product) วันที่ 19/2/2024 ผลิตได้แค่ A.1 , A.2 , A.3 ซึ่งจะขาดในส่วนของ A.4 และ A.5 ไปทำให้ยังไม่สามารถประกอบเป็น Product A ได้
2.ชีท “Production_Plan” เป็นการวางแผนการผลิต Product (รายเดือน) ว่าแต่ละ Product มีแผนการผลิตกี่ตัว เช่น Product A มีแผนการผลิต 500 ตัว อยากทราบว่าตอนนี้ผลิตได้เท่าไหร่ ซึ่ง concept ของผมคือ ใช้ การหาร และใช้ Min คำนวณ
MIN [ {A.1/จำนวนต้องใช้ , A.2/จำนวนต้องใช้ , A.3/จำนวนต้องใช้ , A.4/จำนวนต้องใช้ , A.5/จำนวนต้องใช้} ]
ซึ่งค่าที่น้อยที่สุดก็คือ ค่าที่สามารถประกอบเป็น Product A ได้เท่านั้น ค่าที่ได้ จะนำไป ลบ (-) กับ 500 ซึ่งคือยอดที่ผลิต Product ได้ในปัจจุบัน
***ปัญหาคือ ในชีท “Part_Products” จะเป็นการคีย์ชิ้นส่วนแต่ละ Product สามารถซ้ำกันได้เพิ่มขึ้นได้ หรือ เป็นคนละ Product ก็ได้ เช่น
วันที่ 1ผลิต A.1 100 ชิ้น
วันที่ 2 ผลิต A.2 50 ชิ้น
วันที่ 3 ผลิต A.3 100 ชิ้น
วันที่ 4 ผลิต A.4 100 ชิ้น
วันที่ 5 ผลิต A.2 50 ชิ้น
วันที่ 6 ผลิต B.1 100 ชิ้น
แต่ไม่มีชิ้นส่วน [color=#FF4000]A.5[/color] ซึ่งก็จะไม่ครบ Part ของ Product A จะไม่สามารถคำนวณเพื่อไปตัดยอด ที่ ผลิต ได้ในปัจจุบัน ซึ่งอยากทราบวิธีเช็คและคำนวณว่า เมื่อผลิตครบทุกชิ้นส่วน แล้ว นำไปตัดยอดการวางแผนผลิต อย่างไรครับ หรือมีวิธีการวางตารางฐานข้อมูลอย่างไรครับในงานลักษณะนี้ซึ่งให้ง่ายต่อการคำนวณ
*ซึ่งการใช้รหัสของแต่ละ Product จะเป็น Primary key ส่วน Part ของ Product จะเป็น การใช้ “.” ต่อท้ายไปตามจำนวน Part ที่ต้องใช้ ในแต่ละ Product
เช่น Product A รหัสคือ 10000
ชิ้นส่วนที่ 1 จะใช้รหัส 10000.1
ชิ้นส่วนที่ 2 จะใช้รหัส 10000.2
ชิ้นส่วนที่ 3 จะใช้รหัส 10000.3
ชิ้นส่วนที่ 4 จะใช้รหัส 10000.4
ชิ้นส่วนที่ 5 จะใช้รหัส 10000.5
ถ้ามี part อื่นๆ ก็จะไล่เลขไปตามลำดับครับ